วัดโลกโมฬี จังหวัดเชียงใหม่

        วัดโลกโมฬี  สำหรับในบทความนี้เราจะมาพูดถึงวัดที่มีความเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่โดยวัดแห่งนี้นั้นสร้างอยู่บนถนนมณีนพรัตน์ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่ของตำบลศรีภูมิด้วยวัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยพระเกตุเกล้า    ซึ่งวัดแห่งนี้ชื่อว่าวัดโลกโมฬี

    สำหรับประวัติความเป็นมาของวัดโลกโมฬีนั้นแต่เดิมแถมสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นหวัดมาก่อนที่นี่เคยเป็นสถานที่ที่เรียกว่าบ้านหัวเวียงซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของพระเกตุเกล้านั้นเองต่อมาในช่วงประมาณปีพ.ศ 2470 พระเกศเกล้าทรงโปรดเกล้าที่อยากจะสร้างวัดและวิหารขึ้นมา

จึงได้ยกบ้านเวียงแห่งนี้ให้กลายมาเป็นวัดหลังจากนั้นก็มีการสร้างสถานที่สำคัญภายในวัดมากมายเต็มไปหมดไม่ว่าจะเป็นเจดีย์หรือว่าวิหารต่างๆนั่นเองและนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาที่นี่จึงถูกขนานนามว่าเป็นวัดและมีการตั้งชื่อวัดวัดโลกโมฬี 

          อย่างไรก็ตามในสมัยที่พระเกตุเกล้ายังมีชีวิตอยู่นั้นพระองค์ได้มีการดูแลทำนุบำรุงรักษาวัดแห่งนี้เป็นวัดที่มีชาวบ้านพากันมาทำบุญอย่างหนาแน่นแต่หลังจากที่พระองค์ได้มีการสวรรนคต วัดแห่งนี้ก็ไม่ค่อยมีใครสนใจดูแลท้ายที่สุดแล้วก็กลายมาเป็นวัดร้างโดยอัฐิของพระเกตุ 9 นั้นก็ถูกนำมาบรรจุที่เจดีย์ในวัดแห่งนี้เช่นเดียวกัน 

        ยังเลยสตางค์วัดโลกโมฬีนั้นกลายมาเป็นวัดร้างอยู่หลายร้อยปีเลยทีเดียวก่อนที่จะมีการบูรณะซ่อมแซมขึ้นมาใหม่โดยผู้ที่มีการบูรณะซ่อมแซมวัดโลกโมฬีขึ้นมาใหม่มันก็คือคณะสงฆ์ของจังหวัดเชียงใหม่นั่นเอง

ซึ่งได้มีการบูรณะซ่อมแซมวัดแห่งนี้ช่วงประมาณปีพ.ศ 2544   โดยมีการเข้ามารื้อถอนหญ้าที่ปกคลุมวัดและมีการเปลี่ยนจากวัดร้างแห่งนี้ให้กลายเป็นวัดที่มีความสำคัญของพระพุทธศาสนาเป็นสถานที่ที่พระสงฆ์สามารถมานั่งจำศีลภาวนาและปฏิบัติกรรมฐานได้

         ซึ่งสถานที่แห่งนี้กลายมาเป็นสถานที่ที่พระสงฆ์มาอาศัยอยู่ในช่วงจำพรรษาอีกด้วยเป็นการรื้อฟื้นพระพุทธศาสนาและโบราณสถานนั่นเอง อย่างไรก็ตามหลังจากที่มีพระสงฆ์มาจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งนี้วัดก็มีความเจริญรุ่งเรืองเรื่อยๆเพราะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องปัจจุบันนั้นสถานที่แห่งนี้กลายเป็นวัดที่ถูกต้องตามกฎหมายและมีพระสงฆ์เป็นจำนวนมากที่ยังคงจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งนี้

         อย่างไรก็ตามเนื่องจากว่าวัดแห่งนี้นั้นเคยเป็นบ้านหัวเวียงของพระมหากษัตริย์มาก่อนทำให้ที่นี่นั้นมีการสร้างด้วยสถาปัตยกรรมที่งดงามเป็นอย่างมากนอกจากนี้ยังค่อนข้างประณีตมากอีกด้วยที่สำคัญถึงแม้ว่าจะมีการสร้างเจดีย์รวมถึงวิหารขึ้นมาใหม่แต่ก็มีการสร้างเอาไว้อย่างสวยงามและประณีตเช่นเดียวกันโดยสถาปัตยกรรมที่มีการสร้างต่อเติมขึ้นมานั้นมีการนำรูปเทวดามาประดับที่วิหารและเจดีย์ต่างๆตามหัวมุมอีกด้วย 

 

สนับสนุนโดย.    gclub casinoทดลองเล่น

Continue Reading

ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการไล่ล่าแม่มด 

     ประวัติการไล่ล่าแม่มด    คู่มือการล่าแม่มดการตีพิมพ์ malleus Maleficarum   ในปี 2486 เป็นแนวทางในการระบุและสอบปากคำแม่มด  โดยมีการระบุว่าเวทมนตร์คาถาเป็นสิ่งนอกรีดและกลายเป็นกลายเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วสำหรับโปรเตสแตนต์และคาทอลิกที่พยายามกำจัดมด

ที่อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเขาเป็นเวลากว่า 100 ปีแล้วที่หนังสือเล่มนี้ขายได้มากกว่าหนังสือเล่มอื่นๆในยุโรปยกเว้นคัมภีร์ไบเบิลกลายเป็นคู่มือเล่มแรกเกี่ยวกับวิธีจัดการกับแม่มดสำหรับพวกนักล่า

     การล่าแม่มดอย่างแพร่หลายการล่าแม่มดของยุโรปมีระยะเวลายาวนานโดยได้รับแรงผลักดันในช่วงศตวรรษที่ 16 และดำเนินต่อไปกว่า 200 ปีความแพร่หลายของแม่มดเกิดขึ้นทั่วไปทั้งชายและหญิงผู้ถูกกล่าวหาว่าฝึกเวทมนต์ที่เป็นอันตรายถูกข่มเหงอย่างกว้างขวางไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนในการตัดสินลงโทษบุคคลที่มีคาถาการปรากฏตัวในความฝัน

ก็เพียงพอแล้วที่จะฟ้องร้องใครสักคนจำนวนของชาวยุโรปที่ถูกประหารชีวิตในข้อหาใช้เวทมนตร์นั้นประมาณการไว้ตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึง 9 ล้านคนหลายคนถูกกล่าวหาอย่างเป็นทางการว่าฝึกหัดเยอรมันนั้นมีการประหารแม่มดมากที่สุด 

   แม้ว่าในปัจจุบันนี้จะยังคงมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องพ่อมดแม่มดอยู่แต่ก็ไม่ค่อยมีให้เห็นมากนักซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะมีการแต่งกายเป็นพ่อมดแม่มดเฉพาะในช่วงเทศกาลเท่านั้นและปัจจุบันมีผู้คนก็มองว่าเรื่องพ่อมดแม่มดนั้นเป็นเพียงความเชื่อในตำนานหรือเป็นบุคคลที่มีอยู่ในตำนานเพียงเท่านั้นซึ่งในสมัยก่อนอาจจะมีอยู่จริงแต่ในปัจจุบันนั้นไม่มีใครเป็นพ่อมดแม่มดแล้ว

     อย่างไรก็ตามเมื่อไม่นานมานี้ได้มีนิตยสารฉบับหนึ่งได้มีการค้นพบในปัจจุบันนี้โลกของเรายังคงมีลัทธิแม่มดอยู่โดยมีชื่อเรียกว่า wicca 

และพวกเขาก็เรียกตัวเองว่า wiccans พวกเขาถูกเข้าใจว่าเป็นพวกบูชาซาตานแต่จริงๆแล้วเป็นความเข้าใจที่ผิดเพราะซาตานและ lucifer เป็นความเชื่อในศาสนาคริสต์  แต่ว่าพวกนอกรีตส่วนใหญ่ไม่ใช่ศาสนาคริสต์จึงไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับซาตานและการบูชามัน  

       ชาว wiccans หลีกเลี่ยงความชั่วร้ายและการปรากฏตัวของความชั่วร้ายในทุกวิธีทางคำขวัญของพวกเขาคือไม่ทำร้ายใครและพวกเขามุ่งมั่นที่จะใช้ชีวิตที่สงบสุข   อดทนและสมดุลโดยสอดคล้องกับธรรมชาติและมนุษยชาติ  แม่มดสมัยใหม่หลายคนยังคงใช้คาถาแต่ไม่ค่อยมีอะไรน่ากลัวเกี่ยวกับเรื่องนี้  หลายคนมีชุดของพิธีกรรมหรือสูตรอาหารที่พวกเขาใช้ในพิธีหรือเทศกาล

โดยมี Book of shadows หรือหนังสือแห่งเงามืดเป็นเหมือนบันทึกประจำวันมีจุดมุ่งหมายทางจิตวิญญาณและบันทึกเวทมนตร์ที่มีประโยชน์ อาจรวมถึงชื่อและวันหยุดของนิกายภาษาพิธีกรรมอื่นๆรายชื่อสิ่งของต่างต่าง และสมุนไพรจากการสำรวจของ American religions identification Survey ระหว่างปี 2001 ถึง 2008 จำนวนชาว wicca เพิ่มขึ้นจาก 135000 คนเป็น 340000 คน 

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย.    ufabet สมัครสมาชิก

Continue Reading

ประวัติ พระเจ้าอโศกมหาราช

      ประวัติ พระเจ้าอโศกมหาราช เชื่อว่าหากพูดถึงบุคคลสำคัญที่มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา บุคคลที่ทุกคนรู้จักมากที่สุดคนหนึ่งคงหนี้ไม่พ้น พระเจ้าอโศกมหาราช เพราะท่านเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก 

       สำหรับประวัติของพระเจ้าอโศกมหาราช นั้น ท่านเกิด ณ  พระราชวังเมืองปาฏลีบุตรซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นมคธ  โดยแค้วนดังกล่าวนั้นอยู่ในช่วงสมัยราชวงศ์โมริยะมีพระมารดาคือพระนางจามเทวีมีพระบิดาคือพระเจ้าพิมพิสารโดยพระองค์เป็นพระราชโอรสองค์หนึ่งในจำนวน 101 พระองค์ของพระเจ้าพิมพิสาร

       พระเจ้าอโศกมหาราชถือเป็นผู้ที่มีคุณูปการต่อโลกอย่างมากโดยเฉพาะในทางพระพุทธศาสนาตลอดระยะเวลาแห่งการครองราชย์โดยมีการเปลี่ยนแปลงในชมพูทวีปครั้งยิ่งใหญ่การเปลี่ยนแปลงมากมายนั้นเกิดขึ้นเมื่อพระองค์นับถือพุทธศาสนาเป็นศาสนาของพระองค์เมื่อเป็นดังนั้นแล้วประชาชนโดยทั่วไปจึงหันมาศึกษาและนับถือศาสนาด้วยเป็นจำนวนมากวิถีชีวิตและวัฒนธรรมก็ได้รับการฟื้นฟูรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้ง คุณความดีของพระเจ้าอโศกมหาราชนั้นมีมากมาย 

      พระองค์ได้เป็นประธานอุปถัมภ์ให้พระสงฆ์ทำการสังคายนาครั้งที่ 3 จนแล้วเสร็จนอกจากนี้พระเจ้าอโศกมหาราชอย่างนิมนต์ให้พระสงฆ์ออกเดินทางไปประกาศศาสนาในราชอาณาจักรต่างๆถึง 9 สายด้วยกันจนหลายๆประเทศหันมานับถือพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมากหนึ่งในนั้นก็คือประเทศไทยในช่วงยุคสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชถือได้ว่าเป็นยุครุ่งเรืองแห่งพุทธศาสนาของแคว้นอย่างแท้จริง

    พระองค์ทรงประกอบพระราชสำนัก อย่างมากมายเพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาทั้งการสร้างวัดซึ่งสมัยนั้นเรียกว่าวิหารพระองค์ทรงสร้างวัดน้อยใหญ่ขึ้นแทบทุกพื้นที่ทั้งในเมืองหลวงปาฏลีบุตรอย่างวัดอโศการามและตามรอบนอกหัวเมืองต่างๆซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าพระองค์ทรงสร้างวัดทั้งสิ้นกว่า 84000 วัดเพื่อประสงค์ให้เทียบเท่าคำสอน 84000 พระธรรมขันธ์ของพระพุทธเจ้า

       นอกจากนี้พระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งเสริมพุทธศาสนาโดยการรวบรวมพระบรมสารีริกธาตุจากหัวเมืองต่างๆที่เคยมีการบรรจุไว้แล้วขึ้นอีกครั้ง ครั้งแล้วยังส่งสั่งให้ก่อสร้างเสาหินประดับด้วยรูปสัตว์  อธิ  ช้าง   ม้า   วัว   สิงโต   ไว้บนยอดเสาตามเมืองต่างๆเพื่อยืนยันว่าสถานที่ที่มีเสาเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าและพุทธศาสนาในแผ่นดินของพระองค์อีกด้วย

       จนเมื่อปลายราชวงศ์ของพระองค์แล้วนั้นพระพุทธศาสนาที่เคยเจริญก็เริ่มเสื่อมลงอีกครั้งครั้งนี้เป็นครั้งที่พระพุทธศาสนาสูญหายในอินเดียไปกว่าพันปีจนท้ายที่สุดเมื่อนายพลอังกฤษอเล็กซานเดอร์คันนิ่งแฮมนำพาคณะโบราณคดีเข้ามาขุดค้นพุทธสถานจึงทำให้พระพุทธศาสนากลับคืนสู่สายตาชาวพุทธทั้งในอินเดียและต่างประเทศอีกครั้งนั้นก็คือผลแห่งพระราชศรัทธาของพระเจ้าอโศกมหาราชที่พระองค์ ทรงสร้างวัดเอาไว้มากมายถึงแปดหมื่นสี่พันแห่งนั่นเอง

 

สนับสนุนโดย.  ufabet เว็บหลัก

Continue Reading

ประวัติลาสเวกัส ลาส เวกัส เนรมิตเมืองแห่งทะเลทรายให้กลายเป็นคาสิโน

ประวัติลาสเวกัส

        เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักลาสเวกัสกันเป็นอย่างดี ประวัติลาสเวกัส เนื่องจากที่นี่นั้นนับได้ว่าเป็นเมืองแห่งแสงสีเป็นเมืองที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายและยังเป็นเมืองที่มีคนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นหรืออาจจะกล่าวได้ว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่มีคนอยู่มากที่สุดของรัฐเนวาดาซึ่งรัฐนี้นั้นตั้งอยู่ในเขตของประเทศสหรัฐอเมริกานั้นเอง

         ลาสเวกัสคือแหล่งขุมทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่ของประเทศสหรัฐอเมริกาเพราะที่นี่นั้นจะมีสถานบันเทิงดังระดับโลก

ซึ่งที่นี่นั้นในแต่ละปีจะมีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศจากทั่วทุกมุมโลกเดินทางมาที่ราชการแห่งนี้ที่นี่เป็นแหล่งคาสิโนขนาดใหญ่และมีทั้งรีสอร์ทและแหล่งช้อปปิ้งรวมถึงโรงแรมขนาดใหญ่เยอะแยะมากมายเต็มไปหมดเรียกว่าที่นี่คือศูนย์ของความบันเทิงยิ่งใหญ่ระดับโลกอย่างแท้จริง

       รายได้หลักของประชาชนในรัฐเวกัสมาจากการทำธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องของการพนันนอกจากนี้ยังเป็นธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องของการบันเทิงการช้อปปิ้งต่างๆอีกด้วยโดยที่นี่นั้นถูกขนานนามว่าเป็น เมืองแห่งคนบาปจากว่าที่นี่นั้นธุรกิจที่ทำก็คือธุรกิจด้านการพนันนั่นเองเพราะใครที่มาแล้วย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าผู้คนที่มาที่ลาสเวกัสนั้นมาเล่นการพนันซะส่วนใหญ่นอกนั้นก็หาเวลาว่างช้อปปิ้งหรือหาความบันเทิงใจในด้านอื่นๆเพียงเท่านั้นส่วนสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆเป็นธรรมชาติในลักษณะจะไม่มีเลยนั่นเอง

          อย่างไรก็ตามก่อนที่เราจะไม่กล้าจะมาเป็นสถานที่ที่มีความบันเทิงมากมายเยอะแยะเต็มไปหมดอย่างทุกวันนี้ที่นี่เคยเป็นเมืองที่แห้งแล้งมาก่อนเคยเป็นแหล่งทะเลทรายที่ไม่มีใครแทบจะหันมาสนใจเหลียวแลเลยต่อมาที่นี่ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นที่เติมเสบียงและเติมน้ำมัน

สำหรับใครที่จะเดินทางข้ามระหว่าง 2 รัฐนั่นก็คือใครที่อยากจะเดินทางจากรัฐเนวาดาไปรัฐแคลิฟอร์เนียก็จะต้องแวะมาที่รัชกาลแห่งนี้เพื่อทำการเติมน้ำมันดังนั้นที่นี่จึงเป็นที่รู้จักว่าเป็นสถานที่สำหรับเติมน้ำมันแล้วแต่เสบียงสำหรับนักเดินทางนั้นเอง

        ต่อมาที่นี่ได้มีการถูกนักลงทุนเข้ามาลงทุนเพิ่มไม่ว่าจะเป็นการสร้างเขื่อนฮูเวอร์ซึ่งเขื่อนนี้เป็นเขื่อนขนาดใหญ่ที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าหลังจากนั้นที่นี่ก็มีการตัดผ่านทางรถไฟไกลเป็นว่าที่นี่นั้นเริ่มมีความเจริญเข้ามานักลงทุนจึงให้ความสนใจเข้ามาพัฒนาพื้นที่มากยิ่งขึ้น

และมีการสร้างบ่อนคาสิโนและสวนสนุกขนาดใหญ่ขึ้นหลังจากนั้นไม่นานแทบไม่ถึง 100 ปีด้วยซ้ำที่นี่ก็กลายมาเป็นสถานที่ที่เป็นเหมือนกับดินแดนของสรวงสวรรค์โดยเฉพาะคนที่ชื่นชอบการเสี่ยงโชคการเล่นพนันนั้นเอง  แต่จนถึงตอนนี้ถึงแม้จะผ่านมานานแล้วแต่ลาสเวกัสก็ยังเป็นสถานที่ที่ทุกคนอยากจะมีโอกาสไปเที่ยวกันสักครั้ง

 

สนับสนุนโดย.    Ufabet เข้าสู่ระบบ

Continue Reading

ตำนานความเชื่อเกี่ยวกับพระธาตุอินแขวน  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของประเทศเมียนมาร์

       แน่นอนว่าหากเมื่อมีการพูดถึงประเทศเมียนมาร์นั้นเชื่อว่าหลายคนคงนึกถึงเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของประเทศเมียนมาร์ซะเป็นส่วนใหญ่ซึ่งแน่นอนว่าสถานที่ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของประเทศเมียนมาร์จะอยู่อาศัยนั้นก็มักจะเป็นวัดหรือศาสนสถานต่างๆและที่สำคัญนั้นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของประเทศเมียนมาร์ส่วนใหญ่นั้นมีการสร้างเอาไว้ด้วยสถาปัตยกรรมที่งดงามและแปลกตาซึ่งเราไม่สามารถหาดูได้ในประเทศไทย

         อย่างไรก็ตามเนื่องจากในประเทศเมียนมาร์นะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายหลายแห่งด้วยกัน

ดังนั้นในบทความนี้เราจึงจะมาแนะนำข้อมูลเกี่ยวกับประวัติความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งถูกเรียกว่าเป็นพระธาตุอินทร์แขวนซึ่งเป็นอีกหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมากเลยทีเดียวโดยสิ่งศักดิ์สิทธิ์พระธาตุอินแขวนนี้แม้จะมีอายุมานานหลายร้อยปีแล้วแต่ก็ยังคงได้รับความนิยมจากบรรดาชาวเมืองและชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก 

          พระธาตุอินแขวนเจดีย์ไจ้ทีโยหรือที่รู้จักกันในชื่อพระธาตุอินแขวน     ซึ่งมีความเชื่อกันว่าพระธาตุอินทร์แขวนแห่งนี้นั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเอาไว้ใช้สำหรับเป็นที่ประดิษฐานของพระเกศาหรือเส้นผมของพระโคตมพุทธเจ้านั้นเอง   โดยพระธาตุอินทร์แขวนแห่งนี้นั้นถูกสร้างขึ้นไว้อยู่ที่เมืองจ่ายโทแห่ง  ซึ่งอยู่ในรัฐมอญลักษณะ   โดยเจดีย์องค์นี้เป็นเจดีย์องค์เล็ก สูงประมาณ 5.5 เมตรตั้งอยู่บนก้อนหินสีทองอร่ามบนยอดเขา

           สำหรับเจดีย์องค์นี้ชาวบ้านต่างก็พากันเชื่อว่าเป็นพระธาตุปีเกิดของคนปีจอ  มีตำนานเรื่องเล่าของพระธาตุอินแขวนที่เป็นที่รู้จักกันมากคือเรื่องของฤาษีสองพี่น้องที่พระพุทธเจ้าประทานพระเกศาไว้ให้เมื่อวันที่ต้องละสังขารก็ขอให้พระอินทร์ช่วยหาสถานที่เก็บและเกศาธาตุพระอินทร์จึงใช้อิทธิฤทธิ์ไปเอาหินจากใต้ท้องทะเลลึกนำไปแขวนไว้บนยอดเขาฤาษีจึงสร้างเจดีย์ไว้บนหินเป็นที่เก็บพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า

         ความอัศจรรย์ของพระธาตุอินแขวนคือหินก้อนมหึมาที่ตั้งอยู่บนเขาในลักษณะคล้ายจะหล่นแต่ไม่หล่นเป็นเสน่ห์ที่ทำให้นักท่องเที่ยวอยากไปชมให้เห็นกับตาตัวเองสักครั้งชาวพม่ามากไปนั่งและสวดมนต์เบื้องหน้าพระธาตุอินแขวนสวนนักท่องเที่ยวสามารถซื้อแผ่นทองคำ

เพื่อนำไปปิดทองที่องค์พระธาตุและนำระฆังใบเล็กมาแขวนไว้บริเวณรั้วรอบพระธาตุและจุดที่ปิดทองเข้าไปได้เฉพาะผู้ชายเท่านั้นเชื่อว่าหากได้มาขอพรที่พระธาตุอินแขวนจะทำให้ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงปลอดภัยจากอันตรายและโรคภัยทั้งปวง

 

สนับสนุนโดย.    ufabet เว็บแม่

Continue Reading

สโตนเฮนจ์ Stonehenge หินจากต่างดาว

    สำหรับ สโตนเฮนจ์  คือสถานที่ที่เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางและที่นี่สามารถที่จะมองเห็นได้แม้ว่าเราจะอยู่ในระยะไกลเลยก็ตามเพราะว่าเป็นก้อนหินขนาดใหญ่นอกจากนี้ยังอยู่กลางพื้นที่โล่งเพราะไม่มีต้นไม้หรือว่าสิ่งก่อสร้างใดๆอยู่ใกล้กับสถานที่แห่งนี้เลย 

        นอกจากนี้สโตนเฮนจ์  ยังเป็นหนึ่งในโบราณสถานลึกลับที่ยังคงหาคำตอบที่แน่ชัดไม่ได้ว่าสถานที่แห่งนี้นั้นใครเป็นผู้สร้างขึ้นมาและสร้างขึ้นมาเพื่ออะไรความต้องการในการสร้างสถานที่แห่งนี้นั้นสร้างขึ้นมาทำไมมีเพียงแค่ข้อสันนิษฐานต่างๆมากมายที่มีการพูดกันแล้วก็ไม่รู้ว่าจะใช่เรื่องจริงหรือไม่โดยข้อสันนิษฐานนั้นว่ากันว่าที่นี่ถูกสร้างขึ้นในช่วงประมาณ 2-3 พันปีก่อนคริสตกาลและสถานที่แห่งนี้นั้นก็ถูกสร้างอยู่ตรงกลางทุ่งราบเบอร์รี่

        ซึ่งสถานที่แห่งนี้จะอยู่ห่างไกลจากโรงดอนประเทศอังกฤษไปเพียงแค่ประมาณ 10 ใหม่เท่านั้นลักษณะของสิ่งก่อสร้างของสโตนเฮนจ์  นั้นจะเป็นกองหินสโตนเฮนจ์ซึ่งจะประกอบไปด้วยหินสูงขนาดใหญ่จำนวน 112 ก้อนนำมาวางตั้งเรียงรายเป็นรูปทรงกลมซ้อนกัน 3 วงบางก็ล้มนอนบางก้อนวางทับซ้อนอยู่บนยอดก้อนหินรอบๆจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 100 ฟุตและมีน้ำหนักมากกว่า 30 ตันเลยทีเดียว 

      สิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นเรื่องที่ลึกลับและหาคำตอบไม่ได้นั่นก็เพราะว่าก้อนหินขนาดใหญ่ขนาดนี้ใช้วิธีการขนมาจากที่ไหนและขนมาได้อย่างไรเพราะมันเป็นเรื่องที่แปลกมากที่ว่าพื้นที่แถบนี้เป็นที่ราบกว้างใหญ่แต่ไม่มีร่องรอยใดๆที่เราจะสามารถเห็นได้หรือรับรู้ได้เลยว่าการขนย้ายก้อนหินต่างๆเหล่านี้มาตรงบริเวณจุดนี้นั้นใช้อะไรในการขนย้ายเข้ามาเพราะอยากที่เรารู้กันดีว่าก้อนหินแต่ละก้อนนั้นมีขนาดที่ใหญ่โตมโหฬารและมีน้ำหนักเป็นตัน

       ซึ่งการขนย้ายท่านนายกปัจจุบันนั้นสามารถขนย้ายได้เพราะมีอุปกรณ์ช่วยในการขนย้ายมากมายเต็มไปหมดแต่ในยุคโบราณซึ่งเป็นยุทธ 3,000 ปีกิจการนั้นอุปกรณ์อะไรที่จะสามารถขนย้ายหินเป็นตันๆเหล่านี้มาวางไว้ตรงจุดนี้ได้และที่สำคัญไม่ได้วางไว้กับพื้นเพียงอย่างเดียวเท่านั้นแต่กลับเอามาวางซ้อนกันได้ด้วย  www.ufabet.com ลิ้งเข้าระบบ  และนั่นเองที่ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานต่างๆขึ้นมามากมายและข้อสันนิษฐานกันว่ามันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา

           หรือแม้แต่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมในการดูฤดูกาลหรือใช้ในการดูดวงดาวต่างๆนอกจากนี้ข้อสันนิษฐานที่มีการพูดถึงมากที่สุดก็คือ สโตนเฮนจ์  อาจจะถูกสร้างขึ้นมาโดยไม่ใช่น้ำมือมนุษย์ของชาวโลกแต่อาจจะถูกสร้างขึ้นมาจากมนุษย์นอกโลกหรือว่ามนุษย์ต่างดาวนั่นเองแต่อย่างไรก็ตามข้อสันนิษฐานต่างๆเหล่านี้ก็ยังไม่สามารถยืนยันได้เป็นที่แน่ชัดว่ามันเป็นข้อสันนิษฐานที่ถูกต้องหรือไม่เพราะไม่มีหลักฐานใดยืนยันนั่นเอง 

Continue Reading

ตำนานความเชื่อเรื่องเล่าของประเทศไทยเกี่ยวกับความรักที่ได้แง่คิดดีๆ

เราได้มีตำนานความเชื่อในด้านความรักของไทยมาให้ได้ดูกัน ตำนานความเชื่อเรื่องเล่า ซึ่งไม่ได้เป็นแค่เพียงตำนานทั่วๆไป เนื่องจากว่าแต่ละเรื่องเป็นความเชื่อที่อยู่คู่กับสถานที่เที่ยวที่มีความโด่งดัง รับประกันได้เลยว่าถ้าได้รู้จักตำนานกลุ่มนี้แล้วจะมีผลให้เพื่อนๆราวกับได้ท่องเที่ยวด้วยตัวเอง แล้วก็ยังทำให้เราได้เปิดมุมมองให้เราเข้าใจกับการที่จะรับเรื่องจริงเกี่ยวกับความรักอีกด้วย

เจ้าแม่เขาสามมุขเป็นตำนานโบราณที่อยู่ในบริเวณของชายหาดบางแสน จ.ชลบุรีที่เกิดจากเรื่องราวของครอบครัวคุณยายหลานคู่หนึ่ง ซึ่งหลานสาวมีชื่อว่า มุก เป็นลูกกำพร้าที่คุณยายเอามาชุบเลี้ยงหลังจากที่บิดามารดาเสียชีวิต วันหนึ่งในตอนที่มุกไปนั่งพักผ่อนรอบๆตีนเขาที่ต่ำๆในอ่างศิลา

เธอได้เห็นว่าวกินขาดมาแล้วก็พบว่าผู้ครอบครองว่าวเป็นนายแสนลูกของกำนันในตำบลนั้น ซึ่งนายแสนก็ได้ให้ว่าวตัวนั้นให้มุกเป็นสิ่งแทนตัวเอง ทั้งสองนัดหมายกันหลายคราจนถึงเปลี่ยนเป็นความรัก แล้วก็ได้ให้คำมั่นสาบานต่อกันว่าจะรักกันชั่วนิรันด์ ถ้าหากไม่ถูกคำสัญญาจะกระโจนผาที่นี้ตายตามกันไป

แม้กระนั้นถัดมาเมื่อกำนันผู้เป็นบิดาของนายฉลาดเรื่องเข้าก็เลยไม่ชอบใจแล้วก็ขัดขวางความรักของทั้งสองรวมทั้งจับนายแสนสมรสกับบุตรสาวคนทำโป๊ะเรือ เมื่อมุกรู้เรื่องเข้าก็เลยกระโจนผาตายตามคำมั่น เมื่อนายแสนมองเห็นโดยเหตุนั้นก็เลยกระโดดผาตามกันไป และในกำนันที่รู้สึกผิดก็เลยนำจานชามต่างๆมาไว้ที่ถ้ำตีนเขาเพื่อเป็นที่ระลึกนึกถึงความรักของทั้งสอง

มะเมียะ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นตำนานยอดนิยมของเรื่องราวความรักของ มะเมียะและก็เจ้าน้อยศุขเกษม กันบ้างเลย ว่ากันว่าความรักของทั้งสองดังมากมายจนถึงถูกนำไปพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร เพ็ชร์ลานนา และก็ ชีวิตรักเจ้าเชียงใหม่ กันเลยทีเดียว

ซึ่งจะเป็นเรื่องราวเกิดขึ้นจากการที่ เจ้าศุขเกษม ในวัย 15 ปีถูกส่งไปเรียนที่มะละแหม่ง ถัดมาได้เจอรักกับสาวประเทศพม่าเป็นแม่ค้าขายบุหรี่ชื่อ มะเมียะ ทั้งสองเกิดความรักแล้วก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เมื่ออยู่มะละแหม่งได้ 5 ปีก็ถึงเวลาที่จำเป็นจะต้องทำการกลับจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเจ้าศุขเกษมก็พามะเมียะกลับมาอยู่ด้วยโดยที่ให้คนสนิทสนมปิดเรื่องความสัมพันธ์เป็นความลับ

แม้กระนั้นท้ายที่สุดเมื่อเรื่องจริงเผย ความรักของทั้งสองก็จะต้องจบลงเนื่องจากมะเมียะเป็นคนประเทศพม่าทั้งยังถือชนชาติอังกฤษ แม้กระนั้นเจ้าศุขเกษมนั้นถัดไปจะต้องเป็นเจ้าผู้ครองเมืองเชียงใหม่ก็เลยมีมเหสีเป็นพม่าและก็เป็นคนเชื้อชาติอังกฤษมิได้ เพราะว่ากลัวว่าจะเป็นการเข้ามาแทรกแซงทางด้านการเมือง

เพื่อยึดเชียงใหม่จนกระทั่งสยามไม่พอใจ เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องราวแพร่กระจายก็เลยจะต้องจบความเกี่ยวพันของทั้งสองเพียงแค่นั้น ทั้งสองก็เลยจำเป็นต้องจากกันชั่วนิจนิรันดร์ เปลี่ยนเป็นความเลื่อมใสเรื่องความรักแสนเศร้าที่ยังเล่าขานมานานจนปัจจุบันนี้

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย.  ufabet ทางเข้าเล่น

Continue Reading

ประวัติที่มาของเพลงผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม

พ.ศ.2504 ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุมแต่จริงๆแล้ว ประวัติที่มาของเพลงผู้ใหญ่ลี ทุกคนรู้หรือไม่ว่าเรื่องราวของผู้ใหญ่ลีที่ตีกลองประชุมมันมีเบื้องลึกเบื้องหลังในประวัติศาสตร์ดังนั้นเราได้เก็บเอาเบื้องลึกและเบื้องหลังมาเล่าให้ทุกคนได้อ่านกัน

ซึ่งเรื่องราวของเพลงผู้ใหญ่ลีกล่าวถึงผู้ใหญ่ลีที่วันหนึ่งได้ตีกลองประชุมทำให้ชาวบ้านมาชุมนุมมาประชุมที่บ้านผู้ใหญ่ลีหลังจากนั้นผู้ใหญ่ลีก็ขอกล่าวถึงเรื่องราวที่ได้ประชุมมาคือทางการเขาสั่งมาว่าให้ชาวนาเลี้ยงเป็ดและสุกรปรากฏว่ามีตาสีหัวคลอนแล้วได้ถามว่าสุกรนั้นมันคืออะไร

ดังนั้นผู้ใหญ่ลีก็เลยลุกขึ้นตอบทันใดสุกรนั้นไซร์ก็คือหมาน้อยธรรมดาตรงนี้ก็คือเนื้อเพลงของผู้ใหญ่ลีคนที่แต่งเพลงผู้ใหญ่ลีก็คือ อิง ชาวอิสาน หรือ ชื่อจริงๆก็คือ พิพัฒน์ บริบูรณ์ เขาได้แตงเพลงนี้ให้กับสาวอุบลคนหนึ่ง ชื่อว่า ศักดิ์ศรี ศรีอักษร เป็นคนร้อง

อย่างไรก็ตามถ้าเราจะบอกว่าเพลงนี้ คุณอิง ชาวอิสานเป็นคนแต่งขึ้นมาจากแบบจินตนาการก็คงจะพูดได้ไม่เต็มปากว่าเพราะว่าจริงๆเขาไม่ได้แต่งร้อยเปอร์เซ็นต์คือเขาไปได้ยินเพลงนี้ตอนที่เขาไปดูงานหมอลำในงานบุญที่อุบลพอได้ยินก็ประทับใจก็เลยเอากลับมาเขียนเพลงให้ภรรยาตัวเองร้องแล้วกลายเป็นว่าเพลงนี้ดังเป็นพลุแตกกันไปเลย

ซึ่งถือว่าน่าจะเป็นครั้งแรกๆเลยที่เพลงลูกทุ่งมันอยู่ในความสนใจของคนกระแสหลักขนาดนี้ดังนั้นก็ไม่แปลกเลยที่เพลงนี้มันจะดังมาจนถึงสมัยของพวกเราในปัจจุบันแม้ว่ามันจะผ่านระยะเวลามาตั้งแต่ปี2504จน2564ตอนนี้เราก็พอที่จะรู้ที่มาที่ไปของเพลงู้ใหญ่ลีแล้วใช่ไหม

แต่ถ้าสมมุติว่าเราจะขุดลึกลงไปอีกในเนื้อเพลงนี้เราจะต้องไปดูที่เนื้อเพลงต้นฉบับที่เขาไปร้องเลนกันที่อิสานใช่ไหมเขาได้สันนิฐานกันว่ามันไม่น่าจะร้องว่าผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุมนาจะร้องผู้ใหญ่ลีตีกะลอประชุมมากกว่าคำว่ากะลอคือคำว่าเกราะในภาษาอิสานนันเองเคยได้ยิมไหมตีเกราะเคาะไม้ไม่ใช่ว่าเขาไปตีเกราะแบบชุดเกราะมันไม่ใช่นะ

ในสมัยเด็กๆเราก็คิดภาพนั้นเหมือนกันแต่ว่าคำว่าเกราะนั้นหมายถึงเครื่องตีให้จังหวะให้สัญญาณซึ่งทำมาจากไม้คือเขาได้มีการวิเคราะห์กันว่าสาเหตุที่เขาเชื่อกันว่าผู้ใหญ่ลีไม่น่าจะตีกลองหรอกเพราะวาในสมัยโบราณกลองเขาไม่ได้มีไว้ให้ผู้ใหญ่บ้านส่งสัญญาณ

เนื่องจากกลองมีเอาไว้ให้พระตีเพื่อบอกเวลาว่าแบบทุ่มโมงยามอะไรแบบนี้อย่างไรก็ตามก็มีคนได้สันนิฐานต่อว่าสาเหตุที่เขาจะต้องเปลี่ยนจากคำว่ากลองเป็นคำว่ากะลอมันเป็นได้กีแบบกัน

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย.    ทางเข้า UFABET ภาษาไทย

Continue Reading

การใช้อาวุธของJOHN MALCOLM THORPEในสงครามโลกครั้งที่สอง

การใช้อาวุธ วันนี้เรามีเรื่องราวที่สำคัญมากๆเกี่ยวกับนายทหารอังกฤษคนนึงในสครามโลกอีกแล้วและเราจะพูดถึงนายทหารที่ใช้ดาบและคันธนูในสงครามโลกครั้งที่สองกันบ้างดีกว่าอย่างที่ทุกคนรู้กันว่าในสงครามโลกครั้งที่สองเทคโนโลยีในสงครามมันก็ทันสมัยไปถึงไหนต่อไหนกันแล้วใช่ไหมมีตั้งแต่เรือรบเครื่องบินรถถังปืนกลอะไรต่างๆ

แต่มันยังมีนายทหารคนนึงที่ยังเหลือใช้อาวุธหลักของเขาเป็นอาวุธตั้งแต่สมัยยุคกลางนั่นก็คือดาบใบกว้างแล้วก็ธนูลองโบว์เขามีชื่อว่า JOHN MALCOLM THORPEและเรื่องราวขอเขาจะเป็นยังไงตามไปดูกันเลย

โดยชื่อเต็มๆของเขาคือ JOHN MALCOLM THORPE FLEMING CHURCHILL ซึ่งเขาถึงจะมีนามสกุล FLEMING CHURCHILL ก็ตามแต่เขาไม่ได้เป็นญาติอะไรกับนายวินสตัน เชอร์ชิลหรอกเขาเกิดในปี1906ที่สีลังกานั่นเองโดยในตอนนั้นมันอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ

ซึ่งเขาได้เลือกเส้นทางชีวิตในการเป็นทหารของเขาในการเข้าไปสมัครในโรงเรียนนายร้อยแล้วก็สำเร็จการศึกษาในปี 1926 แล้วเมื่อสำเร็จการศึกษาเขาถูกให้ไปประจำการที่พม่านั่นเองโดยชีวิตในช่วงนี้ของเขาต้องบอกเลยว่าเป็นชีวติที่น่าเบื่อมากๆเลย

เพราะว่ามันเป็นช่วงของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สองตอนนั้นอังกฤษยังไม่มีสงครามกับประเทศใดๆเขาเลยได้ทำการออกจากการเป็นทหารในปี1936ในระหว่างนั้นเรียกได้ว่าชีวิตของเขานั้นค่อนข้างจะไปทั่วเลยเดี๋ยวก็เป้นนักแสดงเดี๋ยวก็ไปฝึกการยิงธนู

แต่เรียกได้ว่าทักษะการยิงธนูของเขาเรียกได้ว่าโด่งเด่นมากๆเลยเพราะว่าเก่งถึงขนาดได้ไปเป็นตัวแทนของประเทศอังกฤษในการแข่งขันยิงธนูชิงแขมป์โลกและเวลาก็ได้ผ่านไปสงครามโลกครั้งที่สองก็ได้เริ่มต้นขึ้นในปี1939ใช่ไหมJOHN MALCOLM THORPEเขาได้ตัดสินใจกลับเขาไปร่วมกองทัพในสังกัดเดิมของเขา

นอกจากนี้หน่วยขอเขาก็เป็นหนึ่งในหน่วยที่ได้รับคำสั่งให้ไปรบในฝรั่งเศสขาได้เลือกอาวุธที่จะใอยู่สองอย่างคือเป็นอาวุธประจำกายของเขานั่นก็คือธนูยาวและดาบเขาได้พูดว่าทหารคนไหนก็ตามที่ใส่เครื่องแบบแล้วไม่พกดาบถือเป็นทหารที่แต่งตัวผิดระเบียบ

เมื่อในปี1940ที่เขาได้ทำการรบอยู่ในฝรั่งเศสเขาได้นำหน่วยของเขาไปซุ่มโจมตีทหารเยอรมันเรียกได้ว่าลีลาในการรบวของเขาเด่นมากๆเขาเอาดาบขึ้นมาแล้วก็เหวี่ยงบนฟ้าเป็นการให้สัญญาณลูกน้องของเขาด้วยการบุกโจมตีเมื่อสั่งโจมตีเรียบร้อยแล้วเขาได้เก็บดาบของเขาแล้วก็ใช้ธนูในการยิงสู้กับพวกเยอรมัน

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย.    gclub สล็อตฟรี

Continue Reading

ผีปอบตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วมันมีอยู่จริงหรือไม่?

ซึ่งก็อาจจะมีหลายๆคนอาจจะตั้งคำถามมาว่าคุณเชื่อหรือไม่ว่าผีปอบมันมีอยู่จริงไหมและคุณคิดว่าการโดนผีปอบเข้าสิงมันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าคิดยังไงช่วยเล่าให้ฟังหน่อย ผีปอบตามหลักวิทยาศาสตร์ ถ้าเอาตามความรู้สึกของเรานะเราจะไม่ขอบอกว่าเราไม่เชื่อแต่เราจะบอกว่าเราเชื่อประมาณ20-30%

ส่วนอีก70%เราไม่เชื่อคือตรงนี้เราต้องขอไล่เรียงกันไปทีละข้อเริ่มจากพิธีไล่ผีปอบยังไปถึงลักษณะของผีปอบที่เข้าสิงคนแล้วกัน โดยวิธีไล่ผีปอบตรงนี้นั่นก็คือการคั่วพริกแล้วลมควันให้คนๆนั้นเกิดอาการทกลักและทำให้ตาแดงตรงนี้ต้องบอกเลยว่าต่อให้ไม่ใช่คนที่ถูกผีปอบเข้าสิงเป็นคนธรรมดาคนทั่วไปยังไงคนที่โดนลมควันตรงนั้นก็ต้องเกิดอาการตาแดงอย่างแน่นอน

โดยตรงนี้ในมุมมองของเราเลยคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นเรื่องจริงแต่ถ้าเรามองในอีกมุมมองหนึ่งว่าตามหลักวิทยาศาสตร์และการแพทย์ถ้าคนๆนึงเขามีความคิดอยู่ใต้จิตสำนึกคนๆนี้อาจจะเป็นแบบนู้นแบบนี้ยกตัวอย่างเช่นถ้าอยู่ดีๆมีคนมาบอกเราเป็นผีปอบมากขึ้นทุกวัน

วันใดวันหนึ่งจิตใต้สำนึกของเราหรือความคิดของเรามันอาจจะคิดขึ้นมาว่ากูอาจจะเป็นผีปอบจริงๆก็ได้ถ้าเราคิดแบบนั้นเมื่อไหร่เราอาจจะสร้างตัวตนอีกตัวตนหนึ่งขึ้นมาตามที่คนเหล่านั้นพูดแล้วทำให้เป็นอาการทางจิตขึ้นมาหรือที่เขาเรียกว่าโรคจินิดหนึ่งนั่นเอง

ซึ่งตรงนี้ถ้าใครไม่เห็นภาพก็ลองไปค้นหารูปภาพได้มันมีผู้ป่วยหลายๆคนที่คิดว่าตัวเองเป็นสัตว์ชนิดนั้นชนิดนี้โดยผีเข้าสิงหรือโดนอะไรก็แล้วแต่ทางการแพทย์เขายืนยันได้เลยว่าในสมองของเขามีสารที่หลั่งออกมาผิดขึ้นมาแล้วทำให้เขาได้เกิดมาเป็นตัวตนหนึ่งขึ้นมาโดยที่เขานั้นไม่ได้ตั้งใจเลย

เนื่องจากนี้ในอีกส่วนหนึ่งกรณีที่ผีปอบเข้าสิงคนและคนๆนั้นกลายเป็นผีปอบจากลักษณะอยู่คนที่ว่าอยู่ดีๆก็กลายเป็นคนที่ซึมไปเลยอยู่ๆคนนั้นก็กลายเป็นคนดีดคล้ายกับคนบ้านไปเลยคนๆนั้นก็โดนรุมประนาณว่ากลายเป็นผีปอบแล้วตรงนี้เราขอบอกเลยว่าเราแทบจะไม่เชื่อเลยก็ว่าได้

เพราะว่าตรงนี้มันมีหลากหลายอารมณ์มากมายไม่ว่าจะเป็นทั้งอารมณ์ดีหรืออารมณ์เศร้าหรืออารมณ์อะไรก็แล้วแต่โดยตรงนี้มันสามารถที่จะเกิดได้ในสภาพแวดล้อมแทบจะทุกอย่างแต่ถามว่าในด้านของความเชื่อผีอบมาสิงแลวเกิดทำให้เป็นแบบนั่นมันมีโอกาสที่จะเป็นไปได้ไหมถ้าตามความเชื่อมันมีโอกาศเป็นไปได้

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย.    gclub เว็บตรง

Continue Reading